
ท่ามกลางนานาประการปัญหาที่ระบบเศรษฐกิจไทยพบเจออยู่ปัจจุบันนี้และก็ที่จะพบเจอในอนาคต
ข่าวเศรษฐศาสตร์ ผมรู้สึกว่าแนวทางเศรษฐกิจจำเป็นที่จะต้องให้ความใส่ใจกับคำสามคำหมายถึงproductivity (ผลิตภาพ) immunity (การผลิตภูมิต้านทาน) และก็ inclusivity (ผู้กระทำระจายผลตอบแทนอย่างทั่วถึง) เพราะเหตุว่าอีกทั้งสามประเด็นนี้คือปัญหาใหญ่ของระบบเศรษฐกิจไทย และก็มีทิศทางจะร้ายแรงขึ้น รวมทั้งแก้ไขยากมากยิ่งขึ้นหากพวกเราปลดปล่อยให้ปัญหาพวกนี้ไหลลงไปเรื่อยโดยไม่รีบจัดแจง ปริศนาที่ผมถูกถามมากมายเป็นพิเศษในตอนใกล้ลงคะแนนนี้ เป็นถูกใจแนวนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองไหนบ้าง คำตอบหมายถึงยังตกลงใจมิได้ เพราะว่าไม่ค่อยมองเห็นข้อแนะนำแนวทางเศรษฐกิจของพรรคการเมืองต่างๆแบบภาพรวม จะมองเห็นแต่ว่าการนำเสนอมาตรการจำพวกคำสัญญาว่าจะให้ เพื่อเอาอกเอาใจฐานเสียงกรุ๊ปต่างๆหรือไม่ก็มีลักษณะเป็น wish list แบบเบี้ยหัวแหลกมากยิ่งกว่าที่จะกล่าวว่าวัตถุประสงค์ หรือแนวทางของเศรษฐกิจไทยจะก้าวถัดไปเช่นไร แล้วก็จะทำยังไงให้เป็นผลได้จริง คำแนะนำแนวทางเศรษฐกิจจำเป็นที่จะต้องผ่านการกลั่นกรองมาอย่างยอดเยี่ยม ผ่านการจัดลำดับจุดสำคัญ ชั่งน้ำหนักจุดเด่นข้อผิดพลาดแล้วก็ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากปัญหาแต่ละเรื่องมีความรีบเร่งรวมทั้งความร้ายแรงแตกต่างกัน และก็พวกเรามีทรัพยากรทุกๆสิ่งทุกๆอย่างจำกัด ไม่อาจจะทำเป็นทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง หลายเรื่องที่ถูกและก็จำเป็นต้องสำหรับอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องที่จะถูกอกถูกใจฐานเสียงเสมอ ท่ามกลางนานาประการปัญหาที่ระบบเศรษฐกิจไทยพบเจออยู่เดี๋ยวนี้แล้วก็ที่จะพบเจอในอนาคต ผมมีความรู้สึกว่าหลักการเศรษฐกิจต้องให้ความใส่ใจกับคำสามคำเป็นproductivity (ผลิตภาพ) immunity (การผลิตภูมิต้านทาน) แล้วก็ inclusivity (ผู้กระทำระจายผลตอบแทนอย่างทั่วถึง) เนื่องจากว่าทั้งยังสามประเด็นนี้คือปัญหาใหญ่ของระบบเศรษฐกิจไทย แล้วก็มีทิศทางจะร้ายแรงขึ้น และก็แก้ไขยากมากยิ่งขึ้นถ้าหากพวกเราปลดปล่อยให้ปัญหากลุ่มนี้ไหลลงไปเรื่อยโดยไม่รีบจัดแจง (ความจริง พวกเราบอกเรื่องพวกนี้กันมากมายว่า 10 ปีแล้ว แต่ว่าหลายเรื่องมักถูกลืม หรือถูกแกล้งลืม กระทั่งทำให้ปัญหาสะสมเยอะขึ้น)
คำแรก productivity หรือ ผลิตภาพถ้าเกิดแปลง่ายๆเป็นคนประเทศไทยจะต้องเก่งขึ้น ธุรกิจไทยจะต้องเก่งขึ้น รวมทั้งเงินลงทุนการใช้ชีวิต แนวทางการทำธุรกิจของชาวไทยจำต้องลดน้อยลง
ข่าวเศรษฐศาสตร์ สังคมไทยกำลังจะเป็นสังคมคนสูงอายุโดยบริบูรณ์ เวลาที่ปริมาณคนประเทศไทยวัยทำงานน้อยลงเรื่อยมาสองสามปีแล้ว แล้วก็หนี้สินครอบครัวเพิ่มสูงมากขึ้นมากมาย ในอนาคตชาวไทยวัยทำงานแต่ละคนจำเป็นต้องหารายได้ดูแลคนชรามากขึ้น อีกทั้งดูแลทางตรง(ดูแลคนแก่ในครอบครัวแล้วก็ตนเองในวัยแก่) รวมทั้งทางอ้อม(ผ่านการเสียภาษีอากรให้รัฐบาลเพื่อเอาไปดูแลผู้สูงอายุ) ตลาดในประเทศก็มีทิศทางเล็กลงตามปริมาณมวลชนและก็องค์ประกอบสามัญชน ในอนาคตงบประมาณของภาครัฐที่จะไปลงทุนเรื่องใหม่ๆให้ทันกับความเคลื่อนไหวของโลกก็มีทิศทางลดน้อยลง เนื่องจากงบประมาณรายการจ่ายผลประโยชน์เพิ่มสูงมากขึ้น ทั้งหมดทั้งปวงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการประลองกับประเทศอื่นที่เข้มข้นเพิ่มมากขึ้น หลายประเทศคู่ปรปักษ์ของพวกเรามีส่วนประกอบพลเมืองที่ยังอยู่ในวัยเอ๊าะๆ และก็กำลังเพิ่มผลิตภาพหลายด้านอย่างก้าวกระโจนแนวทางด้าน productivity จำเป็นต้องทำนานาประการเรื่อง ที่สำคัญจำเป็นต้องรีบกลับโฉม (transform) ภาคเศรษฐกิจที่มี productivity ต่ำแม้กระนั้นมี impact สูงกับคนส่วนมากของประเทศก่อน โดยให้ความใส่ใจกับขั้นต่ำสามภาคหมายถึงภาคเกษตร ภาคการศึกษา แล้วก็ภาครัฐ ที่จำต้องกลับโฉมอย่างเป็นจริงเป็นจัง จะต้องทำแผนการและก็มาตรการด้านอุปทาน (supply side) แล้วก็ใช้เทคโนโลยีรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น Agri-tech, Edu-tech, หรือ Gov-tech ที่จะสร้างความเคลื่อนไหวให้เป็นผลได้จริงในระยะยาว ภาคเกษตร ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าผลิตผลต่อไร่ของทุกพืชหลักของพวกเราแทบจะไม่ดีขึ้นเลย แล้วก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น นอกนั้น แรงงานในภาคเกษตรเป็นแรงงานแก่เพิ่มมากขึ้นกระบวนการทำเกษตรแบบเริ่มแรกใช้น้ำมากมาย ปลดปล่อยก๊าสสภาวะเรือนกระจกออกมาในจำนวนสูง และก็สร้าง PM2.5 ทำให้คนประเทศไทยตายผ่อนชำระแล้วก็สร้างภาระหน้าที่รายการจ่ายด้านของสุขภาพสูงมากมาย ภาคเกษตรควรต้องพบเจอกับความเคลื่อนไหวสถานการณ์สภาพอากาศร้ายแรงในอนาคต ปัญหานี้คือปัญหาใหญ่ด้วยเหตุว่าครอบครัวกว่ากึ่งหนึ่งของเมืองไทยพึ่งพาอาศัยรายได้จากภาคเกษตร การเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตรต้องลงมือกระทำอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ติดอยู่ที่หลักการมอบเงินอุดหนุน รับรองรายได้ หรือเน้นย้ำสร้างแรงบันดาลใจที่ส่งผลบิดเบือนระยะสั้นราวกับก่อนหน้านี้
แนะนำข่าวเศรษฐศาสตร์ อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : ผลสำรวจชี้ อาจจะอีก 50 ปี จึงปิดช่องว่างรายได้ระหว่างเพศ